– จัดตั้งเขต 5 เขต ที่เชื่อมกันด้วยอาณาบริเวณสาธารณะทอดยาว 20 กิโลเมตรชื่อว่า Wadi of Hospitality เพื่อปกป้องประวัติศาสตร์ของมนุษย์และธรรมชาติอันยาวนานถึง 200,000 ปี ในพื้นที่ประวัติศาสตร์หลักของเมืองอัลอูลาที่ทอดยาว 20 กิโลเมตรทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งรวมถึงวาดี (Wadi) หรือหุบเขาที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลาง และเมืองเฮกรา (Hegra) ของราชอาณาจักรแนบาเทีย (Nabataea) ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก
– แผนแม่บทแรกสำหรับเมืองอัลอูลาคือการสร้างพิพิธภัณฑ์มีชีวิต (Living Museum) ซึ่งประกอบด้วยสถานที่ทางวัฒนธรรมใหม่ 15 แห่ง, การฟื้นฟู Cultural Oasis ที่ทอดยาว 9 กิโลเมตร, พื้นที่เปิดและพื้นที่สีเขียว 10 ล้านตารางเมตร, เส้นทางเดินรถรางปล่อยคาร์บอนต่ำยาว 46 กิโลเมตร รวมถึงการสร้างที่พักเพิ่ม 5,000 ห้องเพื่อรองรับผู้มาเยือน
เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย และองค์ประธาน Royal Commission for AlUla ได้ประกาศแผนแม่บท The Journey Through Time Masterplan สำหรับเมืองประวัติศาสตร์อัลอูลาของซาอุดีอาระเบีย เพื่อนำพาผู้มาเยือนดำดิ่งสู่ประวัติศาสตร์ของมนุษย์และธรรมชาติอันยาวนานถึง 200,000 ปี
รับชมข่าวในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่ https://www.multivu.com/players/uk/8878751-the-journey-through-time-masterplan-alula-cultural-heritage-site/
The Journey Through Time Masterplan เป็นแผนแม่บทระยะยาว 15 ปี เพื่อพัฒนาพื้นที่ประวัติศาสตร์หลักของเมืองอัลอูลาทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบียอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ
แผนแม่บทดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมวิสัยทัศน์ Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบีย เพื่อเริ่มบทใหม่ของการพัฒนาเมืองอัลอูลาในฐานะพิพิธภัณฑ์มีชีวิต พร้อมกับเร่งพัฒนาเศรษฐกิจที่มีความหลากหลายมากขึ้นและชุมชนที่คึกคัก
แผนแม่บท The Journey Through Time Masterplan จะเปลี่ยนเมืองอัลอูลาเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกด้านมรดกทางวัฒนธรรม ธรรมชาติ ศิลปะ และวัฒนธรรม โดยองค์ประกอบหลักของแผนแม่บทมีดังนี้
– การจัดตั้งเขต 5 เขต ทอดยาว 20 กิโลเมตรใจกลางเมืองอัลอูลา ตั้งแต่เมืองโบราณทางใต้ไปจนถึงเมืองประวัติศาสตร์เฮกราทางเหนือ ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของ The Journey Through Time Masterplan โดยแต่ละเขตมีมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ประกอบด้วย AlUla Old Town (เขต 1), Dadan (เขต 2), Jabal Ikmah (เขต 3), Nabataean Horizon (เขต 4) และ Hegra Historical City (เขต 5)
– แต่ละเขตจะให้ความสำคัญกับแหล่งมรดกที่มีอยู่ รวมถึงฟื้นฟู Cultural Oasis ที่ทอดยาว 9 กิโลเมตร ประเดิมที่เขต AlUla Old Town
– สถานที่ทางวัฒนธรรมใหม่ 15 แห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ และศูนย์วัฒนธรรม จะเป็นแลนด์มาร์กของแต่ละเขต
– อาณาบริเวณสาธารณะทอดยาว 20 กิโลเมตรชื่อว่า Wadi of Hospitality จะเชื่อมทั้ง 5 เขตเข้าด้วยกัน และจะเป็น “เส้นทางหลัก” ของคนเดินเท้าที่รักในธรรมชาติ
– เส้นทางเดินรถรางปล่อยคาร์บอนต่ำยาว 46 กิโลเมตร จะเชื่อมท่าอากาศยานนานาชาติอัลอูลากับทั้ง 5 เขต นอกจากนี้ ถนน ทางจักรยาน ทางขี่ม้า และทางเดินเท้าที่สวยงาม จะช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น น่าอภิรมย์ และปล่อยคาร์บอนต่ำ
– Wadi และเส้นทางเดินรถรางปล่อยคาร์บอนต่ำ ส่วนใหญ่จะใช้เส้นทางตามทางรถไฟฮิญาซ (Hijaz Railway) ซึ่งเป็นเส้นทางที่นักแสวงบุญเคยใช้เมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว รับประกันทิวทัศน์ที่สวยงามน่าประทับใจและประสบการณ์แปลกใหม่ของการชมวิวที่เปลี่ยนจากโอเอซิสไปสู่ทะเลทราย
– สร้างห้องพักเพิ่ม 5,000 ห้อง เพื่อให้มีห้องพักรวมทั้งสิ้น 9,400 ห้องภายในปี 2035 โดยแต่ละเขตจะมีตัวเลือกห้องพักที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ตั้งแต่โรงแรม รีสอร์ตสำหรับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ บ้านพักหรู ไปจนถึงที่พักที่เกิดจากการขุดภูเขาหินทราย
– Kingdoms Institute ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของแผนแม่บท จะเป็นศูนย์รวมองค์ความรู้และการวิจัยทางโบราณคดีเกี่ยวกับวัฒนธรรมและอารยธรรมที่สืบทอดมายาวนานกว่า 7,000 ปี ซึ่งรวมถึงอารยธรรมของราชอาณาจักรดาดัน (Dadan) และราชอาณาจักรแนบาเทียผู้สร้างเมืองเฮกรา ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก
แผนแม่บท The Journey Through Time Masterplan ได้รับการพัฒนาโดยการนำของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย และได้รับคำแนะนำจากเจ้าชายบาดร์ รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมซาอุดีอาระเบียและผู้ว่าการ Royal Commission for AlUla (RCU)
แผนแม่บท The Journey Through Time Masterplan ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อจับสาระสำคัญที่หยั่งรากลึกอยู่แล้วในเมืองอัลอูลา นั่นคือ การเป็นโอเอซิสของวัฒนธรรม มรดก ธรรมชาติ และชุมชนอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวในอดีตสู่อนาคต และเปิดบทใหม่ของประวัติศาสตร์เมืองอัลอูลาที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน
แต่ละเขตภายใต้แผนแม่บท The Journey Through Time Masterplan ถือเป็นแลนด์มาร์กทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง สะท้อนประวัติศาสตร์ที่มีลักษณะเฉพาะและมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแสดงถึงภูมิประเทศและธรรมชาติที่โดดเด่นของแต่ละเขต โดยระบบแบ่งเขตตามความแตกต่างของสถานที่ ประสบการณ์ และวัฒนธรรม ได้รับการออกแบบโดยให้ความสำคัญกับผู้มาเยือน เพื่อมอบประสบการณ์การสำรวจ ค้นพบ และพักผ่อนที่ดื่มด่ำมากยิ่งขึ้น
เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นครั้งใหม่ของซาอุดีอาระเบียในการอนุรักษ์และปกป้องมรดกโลก รวมถึงองค์ความรู้และงานวิจัย แผนแม่บทดังกล่าวจึงได้รับการสนับสนุนจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์อันครอบคลุมเกี่ยวกับรูปแบบของมนุษย์ รวมถึงวิวัฒนาการทางสิ่งแวดล้อมและธรณีวิทยา ซึ่งดำเนินการโดยทีมผู้เชี่ยวชาญชาวซาอุดีอาระเบียและชาวต่างชาติ
เพื่อรับมือกับความท้าทายในการพัฒนาพื้นที่ทะเลทรายที่เปราะบางอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ การฟื้นฟู Cultural Oasis ที่ทอดยาว 9 กิโลเมตร ผ่านการวิจัยและพัฒนาโซลูชันต่าง ๆ จึงถือเป็นส่วนสำคัญของแผนแม่บท นอกจากนี้ เพื่อสนับสนุนโครงการ Saudi Green Initiative เมืองอัลอูลาจึงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การฟื้นฟูผืนดินและการสกัดกั้นไม่ให้พื้นที่กลายเป็นทะเลทราย ตลอดจนขยายพื้นที่เปิดและพื้นที่สีเขียวมากถึง 10 ล้านตารางเมตร เพื่อรองรับสถานที่ทางโบราณคดีของเมืองอัลอูลา และสร้างโอกาสในการผลิตพืชผลทางการเกษตรอย่างยั่งยืน ตลอดจนสร้างประสบการณ์ที่ดึงดูดใจผู้มาเยือน
สองโครงการเรือธงของแผนแม่บทนี้ ได้แก่ Kingdoms Institute และ Cultural Oasis สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของซาอุดีอาระเบียในการนำเสนอแม่แบบระดับโลกในการปกป้อง อนุรักษ์ และส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของโลก
นอกจากนี้ กฎบัตร AlUla Sustainability Charter ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ที่สมดุลว่าด้วยการปกป้อง การอนุรักษ์ การฟื้นฟู การปฏิรูป และการพัฒนา ได้วางแนวทางแบบบูรณาการและทันสมัยที่จะนำไปสู่ความยั่งยืน กฎบัตรดังกล่าวประกอบด้วยหัวใจสำคัญของแผนแม่บท นั่นคือ นโยบายคาร์บอนเป็นศูนย์ หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน และนโยบายที่ยืดหยุ่นเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่มรดกและพื้นที่อ่อนไหวทางสิ่งแวดล้อม รวมถึงแผนยกระดับการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยและการปลูกพืชผัก
สิ่งที่แผนแม่บทนี้ให้ความสำคัญสูงสุดเป็นอันดับแรกคือ การลงทุนในพลเมืองและอนาคตของพลเมืองอัลอูลา ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ RCU ในการเปิดโอกาสให้ชุมชนได้มีส่วนร่วม โดยบริการที่ขับเคลื่อนด้วยชุมชน สิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงสถานที่ทางวัฒนธรรมและการศึกษา จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจอิงการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และเกษตรกรรมของเมืองอัลอูลาให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน การเติบโตทางเศรษฐกิจจะช่วยเพิ่มจำนวนคนเก่งในชุมชนซึ่งจะเป็นผู้ปกป้องค่านิยม เทคนิค และประเพณีที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษนานนับพันปี นอกจากนั้นยังส่งเสริมสังคมที่คึกคักและเจริญรุ่งเรืองในเมืองที่เหมาะแก่การอยู่อาศัย ทำงาน และค้นพบสิ่งใหม่ ๆ
แผนแม่บท The Journey Through Time Masterplan คือแผนแรกภายใต้แผนการมากมายสำหรับเมืองอัลอูลา ซึ่งถือเป็นส่วนแรกและส่วนสำคัญที่สุดของการพัฒนาเมืองอัลอูลา โดยการดำเนินการตามแผนจะแบ่งเป็น 3 ระยะไปจนถึงปี 2035 ขณะที่ระยะแรกตั้งเป้าไว้ว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2023 เพื่อมอบประสบการณ์ที่ครอบคลุมและมีผู้มาเยือนเป็นศูนย์กลาง
เมื่อกลยุทธ์การพัฒนาเมืองอัลอูลาดำเนินการจนเสร็จสมบูรณ์ทั้งหมดในปี 2035 จะเกิดการสร้างตำแหน่งงานใหม่ 38,000 ตำแหน่ง ขณะที่จำนวนประชากรจะเพิ่มขึ้นเป็น 130,000 คน และเมืองอัลอูลาจะสร้างมูลค่าราว 1.20 แสนล้านริยัลซาอุดีอาระเบียให้แก่ GDP ของประเทศ (ราว 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) นอกจากนี้ พื้นที่ 80% ของเมืองอัลอูลายังออกแบบให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติ โดยมีการฟื้นฟูพันธุ์ไม้และสัตว์ป่าสำคัญ ๆ
เป้าหมายดังกล่าวจะบรรลุผลสำเร็จได้ด้วยการสร้างรายได้จากการต้อนรับผู้มาเยือน 2 ล้านคนต่อปี การให้บริการห้องพักรวม 9,400 ห้อง รวมถึงการเดินหน้าส่งเสริมเกษตรกรรม ศิลปะและวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวให้เป็นกลไกหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมืองอัลอูลา นอกจากนี้ โอกาสอันโดดเด่นเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมและเร่งการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนจากพันธมิตรที่มีค่านิยมร่วมกับ RCU ในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ รวมถึงการเปิดโอกาสให้ชุมชนได้มีส่วนร่วม
เกี่ยวกับอัลอูลา
อัลอูลา อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย ห่างจากกรุงริยาด 1,100 กิโลเมตร รุ่มรวยด้วยมรดกของมนุษย์และธรรมชาติอันแสนมหัศจรรย์ พื้นที่อันกว้างขวาง 22,561 ตารางกิโลเมตร มีทั้งหุบเขาอันเขียวชอุ่ม ภูเขาหินทรายตั้งตระหง่าน และแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมอายุเก่าแก่หลายพันปี
สถานที่ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในอัลอูลาคือเมืองโบราณเฮกรา แหล่งมรดกโลกแห่งแรกของซาอุดีอาระเบียที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก เมืองโบราณแห่งนี้มีพื้นที่ 52 เฮกตาร์ และเคยเป็นเมืองสำคัญทางตอนใต้ของราชอาณาจักรแนบาเทีย โดยมีสุสานเกือบ 100 แห่งที่ยังอยู่ในสภาพดีและมีการตกแต่งผนังภายนอกอย่างวิจิตรงดงามด้วยการขุดภูเขาหินทราย ผลวิจัยบ่งชี้ว่าเฮกราคือดินแดนใต้สุดของอาณาจักรโรมัน หลังจากเอาชนะราชอาณาจักรแนบาเทียในคริสตศักราช 106
นอกจากเมืองโบราณเฮกราแล้ว อัลอูลายังมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น เมืองโบราณ (Old Town) ที่ล้อมรอบด้วยโอเอซิสโบราณ, ดาดัน เมืองหลวงของราชอาณาจักรดาดัน ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่เจริญที่สุดในคาบสมุทรอาหรับในช่วง 1000 ปีก่อนคริสตกาล, การจารึกและงานศิลปะบนหินหลายพันชิ้นในจาบาล อิกมาห์ และสถานีรถไฟฮิญาซ
หมายเหตุสำหรับบรรณาธิการ
Kingdoms Instituteเป็นพหูพจน์และไม่แสดงความเป็นเจ้าของ
ชื่อเมืองอัลอูลาในภาษาอังกฤษสะกดว่า AlUla เสมอ ไม่ใช่ Al-Ula
เกี่ยวกับ Royal Commission for AlUla
Royal Commission for AlUla (RCU) ก่อตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาในเดือนกรกฎาคมปี 2017 เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาเมืองอัลอูลาในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ แผนการระยะยาวของ RCU คือการพัฒนาเศรษฐกิจและเมืองด้วยความรวดเร็ว รับผิดชอบ และยั่งยืน พร้อมกับอนุรักษ์มรดกทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติในพื้นที่ ตลอดจนส่งเสริมให้เมืองอัลอูลาเป็นจุดหมายปลายทางการอยู่อาศัย ทำงาน และท่องเที่ยว เป้าหมายเหล่านี้ก่อให้เกิดโครงการมากมายทั้งในด้านโบราณคดี การท่องเที่ยว วัฒนธรรม การศึกษา และศิลปะ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการตอบสนองต่อความหลากหลายทางเศรษฐกิจ การสร้างพลังให้กับชุมชน และการอนุรักษ์มรดกตกทอดตามวิสัยทัศน์ Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบีย
เกี่ยวกับ AFALULA (French Agency for AlUla Development)
RCU ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรอย่าง French Agency for AlUla Development (AFALULA) เพื่อพัฒนาแผนแม่บท โดย AFALULA ก่อตั้งขึ้นในกรุงปารีสเมื่อเดือนกรกฎาคม 2018 หลังจากมีการลงนามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลฝรั่งเศสกับซาอุดีอาระเบียในเดือนเมษายนปีเดียวกัน พันธกิจของ AFALULA คือการสนับสนุนพันธมิตรในซาอุดีอาระเบียอย่าง Royal Commission for AlUla (RCU) เพื่อร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และวัฒนธรรมของเมืองอัลอูลาทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์ โดย AFALULA ได้แบ่งปันองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญของฝรั่งเศส ตลอดจนรวบรวมผู้ประกอบการและบริษัทที่ดีที่สุดในด้านโบราณคดี พิพิธภัณฑ์ สถาปัตยกรรม สิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยว การโรงแรม โครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา ความมั่นคงปลอดภัย เกษตรศาสตร์ พฤกษศาสตร์ รวมถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
โครงการพัฒนาอื่น ๆ ของ RCU
ตลอดสามปีที่ผ่านมา RCU ได้ดำเนินโครงการพัฒนาหลายโครงการร่วมกับพันธมิตรจากทั่วโลก เช่น การเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยานนานาชาติอัลอูลา 300% หลังจากที่เพิ่งเปิดรับเที่ยวบินระหว่างประเทศเที่ยวแรกเมื่อไม่นานมานี้ และการสร้างมารายา (Maraya) ซึ่งเป็นอาคารกระจกขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและอาคารอเนกประสงค์ระดับรางวัลขนาด 500 ที่นั่ง ซึ่งสามารถรองรับการประชุมและการจัดกิจกรรมบันเทิงต่าง ๆ โดยได้จัดอีเวนต์ระดับโลกมาแล้ว เช่น การประชุม Hegra Conference of Nobel Laureates และเทศกาลวัฒนธรรม Winter at Tantora โดยได้ต้อนรับศิลปินดังอย่าง Andrea Bocelli และ Lang Lang นอกจากนั้นยังมีโครงการพัฒนารีสอร์ทหรูร่วมกับ Accor/Banyan Tree, Habitas และ Jean Nouvel
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ RCU Factsheet
วิดีโอ – https://mma.prnewswire.com/media/1482749/Journey_Through_Time.mp4
รูปภาพ – https://mma.prnewswire.com/media/1480528/Royal_Commission_for_AlUla.jpg