โควิด-19 ระลอกใหม่ ป่วนการท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั่วโลกและไทยในช่วงที่เหลือของปี 2564

– โควิดระลอกใหม่กระทบการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั่วโลกและไทยในช่วงที่เหลือของปี 2564 โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยทั้งปี 2564 อาจจะต่ำกว่าที่เคยคาดลงมาอยู่ที่จำนวน 1.5 แสนคน

แนวโน้มการท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั่วโลกกลับมาเผชิญความท้าทายอีกครั้ง เมื่อหลายประเทศกำลังประสบกับการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า ซึ่งแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เร่งตัวขึ้นในหลายประเทศ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการระบาดระลอกที่ 4 ของโลก ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ กระทบความต่อเนื่องในการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั่วโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้

แม้ช่วง 7 เดือนแรกของปี 2564 กิจกรรมการท่องเที่ยวระหว่างประเทศฟื้นตัวได้ในบางภูมิภาคและบางประเทศ เนื่องจากสถานการณ์โควิดที่บรรเทาลง การฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมประชากรมากขึ้น ทำให้ทางการหลายประเทศผ่อนคลายมาตรการต่างๆ การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยนำรูปแบบวัคซีนพาสปอร์ตมาใช้สำหรับนักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนครบโดสเพื่อลดอุปสรรคในการเดินทางระหว่างประเทศ และการทำสัญญาการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำอย่าง Travel Bubble โดยในหลายประเทศมีนักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในภูมิภาคยุโรป ได้รับปัจจัยหนุนจากการจัดมหกรรมกีฬาอย่างการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 ที่หลายประเทศในยุโรปเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ขณะที่สถิติล่าสุดขององค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า ผู้เดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั่วโลกในช่วงระหว่างเดือนม.ค.-พ.ค. ปี 2564 มีจำนวน 78.59 ล้านคน

อย่างไรก็ดี ทิศทางการท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั่วโลกในช่วงที่หลือของปี 2564 มีความเปราะบางสูง เมื่อการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในหลายประเทศทั่วโลก สร้างความกังวลต่อการท่องเที่ยวอีกครั้ง สะท้อนจากเครื่องชี้วัดกิจกรรมการท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั่วโลกอย่างกูเกิ้ล Destination Insight (Travel Insights with Google) พบว่า ความต้องการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศลดลงผ่านการค้นหาโรงแรมและที่พักปรับตัวลงหลังจากที่ผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ทางการหลายประเทศต้องยกระดับมาตรการจำกัดการเดินทางท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และออกคำเตือนประชาชนในการเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งส่งผลต่อการเดินทางระหว่างประเทศต่อไป แม้จะมีการใช้ระบบวัคซีนพาสปอร์ตเข้าช่วยลดอุปสรรคในการเดินทางท่องเที่ยว แต่ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ อาทิ ชนิดของวัคซีนที่ได้รับการยอมรับในแต่ละประเทศ ขณะที่บางประเทศแม้นักท่องเที่ยวจะได้รับการฉีดวัคซีน แต่ถ้ามาจากประเทศเสี่ยงสูงก็ยังคงต้องกักตัว จากสถานการณ์ดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั่วโลกในปี 2564 น่าจะหดตัวประมาณ 45% จากปีก่อน หรือมีจำนวนเพียงประมาณ 220 ล้านคน จากจำนวน 399 ล้านคนในปี 2563 และจากสถานการณ์โควิดที่ลากยาวทำให้การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั่วโลกคาดว่าจะยังใช้ระยะเวลายาวนานขึ้น หรืออย่างน้อยกว่า 4 ปี หรือหลังปี 2568 กว่าที่ตลาดการท่องเที่ยวโลกจะกลับเข้าสู่ระดับก่อนการระบาด

– ช่วงที่เหลือปี 2564 ต่างชาติเที่ยวไทยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากปัจจัยในประเทศทั้งโควิดและการเมือง ส่งผลให้ทั้งปี 2564 นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะต่ำกว่าที่เคยคาด

ทิศทางนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในช่วงที่เหลือของปี 2564 นี้ มีความท้าทายมากขึ้นจากหลายปัจจัย เมื่อสถานการณ์การระบาดของโควิดในประเทศที่ยังพบจำนวนผู้ติดเชื้อสูง ทำให้ทางการไทยจำเป็นต้องใช้มาตรการควบคุมการการระบาดในประเทศ ซึ่งไม่เอื้อต่อกิจกรรมการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันทางการในหลายประเทศมีการยกระดับคำเตือนสำหรับประชาชนที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย

ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2564 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติภายใต้ Special Tourist Visa (STV) เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยต่อเนื่อง และในเดือน ก.ค. 64 การเปิดโครงการภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าท่องเที่ยวในไทยสูงเกิน 1 หมื่นคน ในรอบ 10 เดือนหลังจากที่ไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศที่ยังน่ากังวลจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ยังสูง และยังไม่มีแนวโน้มจะคลี่คลายในระยะเวลาอันใกล้ สร้างความกังวลและมีผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว เห็นได้จาก เครื่องชี้การท่องเที่ยวอย่างการค้นหาที่พักผ่านเว็บไซต์ต่างๆ อย่างกูเกิ้ล Destination Insight (Travel Insights with Google) พบว่า เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศสูงขึ้น ความต้องการค้นหาโรงแรมและที่พักในพื้นที่ภูเก็ตลดลง

ขณะเดียวกัน ทางการในหลายประเทศยกระดับคำเตือนประชาชนในการเดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งรวมถึงประเทศไทย เช่น ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC (Center for Disease Control and Prevention) จึงไม่น่าจะเป็นผลดีต่อแนวโน้มตลาดท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวสหรัฐฯ เป็นตลาดที่สำคัญของการท่องเที่ยวไทยในช่วงนี้ โดยนับจากประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประเภท STV ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – เดือนมิถุนายน 2564 นักท่องเที่ยวจากสหรัฐฯเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยมีจำนวน 5,921 คน ซึ่งมีจำนวนมากเป็นอันดับ 1 ของจำนวนนักท่องเที่ยวชาติที่เดินทางมาเที่ยวไทยทั้งหมด

ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ยังมีความไม่แน่นอนสูงซึ่งรวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดการกลายพันธุ์ จะมีผลกระทบต่างๆ ตามมาต่อแผนการผ่อนคลายการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ นอกจากนี้ การท่องเที่ยวของไทยต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากความตึงเครียดทางการเมืองเพิ่มเติม ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ อาจจะต่ำกว่าที่เคยคาด ส่งผลให้ทั้งปี 2564 นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะมีจำนวน 1.5 แสนคน จากกรอบเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.5-6.5 แสนคน โดยมองว่าหากทางการสามารถควบคุมการระบาดของโควิดในพื้นที่ท่องเที่ยวที่เป็นเป้าหมายการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น ภูเก็ต กระบี่ สุราษฎร์ธานี เป็นต้น ได้ดีในช่วงที่เหลือของปี สถานการณ์การท่องเที่ยวน่าจะทยอยกลับมาได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

– นักท่องเที่ยวให้น้ำหนักกับความเสี่ยงโควิดที่ต่ำในการเลือกจุดหมายปลายทางและสถานที่ท่องเที่ยว

ทิศทางตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงที่เหลือของปีนี้และต่อเนื่องไปหลังจากนี้ ปัจจัยสำคัญจะขึ้นอยู่กับการสร้างความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว ซึ่งไม่เฉพาะเพียงการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรทั่วประเทศ แต่ยังคงต้องการความร่วมมือในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคให้ลดลงโดยเร็วที่สุด ตลอดจนความพร้อมของมาตรการที่เข้มข้นและรวดเร็วของทุกฝ่ายในการดูแลหลังจากที่สถานการณ์โควิดดีขึ้น ขณะที่สภาพแวดล้อมการท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว และการระบาดของโควิดมีผลต่อพฤติกรรมและความชอบของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป

โดยพบว่า นักท่องเที่ยวจะให้น้ำหนักในการเลือกจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่ปลอดภัยจากโควิด และมีมาตรการการควบคุมการระบาดของโรคในท้องที่ต่างๆ การมองหาสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ หลีกเลี่ยงสถานที่ท่องเที่ยวแออัด และปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวไม่น้อยที่มีความพร้อมจะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ จะใช้เวลาในการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวที่ปลอดภัย และเมื่อพบจุดหมายปลายทางดังกล่าว ระยะเวลาการจองที่พักและการเดินทางจะสั้นลง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2 สัปดาห์หรือไม่ก็ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นระยะเวลาการจองที่พักและการเดินทางที่น้อยลงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 8-10 สัปดาห์ในช่วงก่อนโควิด

ดังนั้น การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงสู่ระดับปลอดภัยในระยะต่อไปอาจจะต้องมีความพร้อม ทั้งการประชาสัมพันธ์สื่อสารนักท่องเที่ยว ให้เข้าถึงข้อมูลต่างๆ มาตรการของทางการที่ชัดเจนกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างการระบาดในพื้นที่ พร้อมไปกับการทำตลาดกระตุ้นการท่องเที่ยวควบคู่กันไป เพื่อสร้างความเข้าใจและการรับรู้ให้กับนักท่องเที่ยวที่จะตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย

ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ